วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

ต้อเนื้อ หรือต้อลม (Pterygium)




สาเหตุ : ยังไม่รู้แน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการระคายเคืองจาก แสงแดด ลม & ฝุ่น เพราะพบมากในคนที่ทำงานกลางแจ้ง & สิงห์มอเตอร์ไซด์
อาการ : จะอยู่บริเวณหัวตาด้านในดังรูป จะงอกลามเข้าหาตาดำไม่มีอันตราย แต่จะทำให้คัน & เคืองตา ถ้าลามเข้าตาดำมากๆจะบังการมอง
วิธีรักษา : ลอกออก ไม่เจ็บครับทำเสร็จกลับบ้านได้เลย แต่ล่วนใหญ่จะกลับเป็นอีก ดังนั้นจะนัดไปดูเห็นเริ่มขึ้นใข้แร่จี้จะหาย อีกวิธีคือใช้Laser
ป้องกัน : ออกแดดใส่แว่นกันแดด ขี่มอร์เตอร์ไซด์ ใส่แว่นแบบครอบตา

ลมพิษ (Urticaria)





สาเหตุ : เกิดจากการแพ้
1.ยา & สารที่ผสมในยา: ยาทุกชนิดแพ้ได้ทั้งนั้น ที่พบบ่อย คือ
-ยาฆ่าเชื้อBacteria (Antibiotic) เช่น กลุ่ม Penicillin / Sulfa /Tetracycline
ยาแก้ปวด : เช่น Aspirin / Dipyrone / Sulpyrin / Phenylbutazone
ฮื่นๆ : ยาถ่าย / ยารักษาโรคปวดข้อ / Barbitulate
ถ้าคุณกินยาแล้วแพ้ : เมื่อรักษาแล้วต้องนำยากลับไปที่ที่คุณได้มา ขอให้เขาจดชื่อให้ทั้งหมด(อย่าไปต่อว่าเขาเพราะไม่มีทางรู้ว่าใครจะแพ้อะไร) จำชื่อไว้ & พกติดตัวไว้ตลอด(เพื่อคุณหมดสติถูกนำส่งรพ.)
ถ้ากินยาหลายตัวแล้วแพ้อย่าเหมาว่าแพ้ Antibiotic เพราะอาจแพ้ตัวอื่นก็ได้ ในคนที่แพ้ไม่รุนแรงวันหลังอาจลองกินทีละตัวได้
2.อาหารหรือสิ่งอื่นที่ผสมอยู่ในอาหาร : ที่พบมากคือ อาหารทะเล / ถั่ว & ผลิตภัณฑ์ /นม /ชอกโกแลต/สารกันบูด /สีผสมอาหาร ฯลฯ
3.แมลง : ผึ้ง / มด / ยุง / ตะขาบ/หนอน ฯลฯ
4.ข้าวของเครื่องใช้ : สบู่ / shampoo /เครื่องสำอางค์ / ผ้าใยสังเคราะห์ / สารเคมี
5.การติดเชื้อ : เช่นฟันผุ / Sinusอักเสบ / พยาธิ ฯลฯ
6.อื่นๆ : ความร้อน-ความเย็น / แสงแดด / Exercise / การกดรัด / ความเครียด / ฝุ่น ฯลฯ
อาการ : คันแต่ไม่เจ็บ มีผื่นนูนแดงขึ้น ขึ้นเร็วกระจายเร็ว ยุบเร็ว ย้ายที่เร็ว เกาตรงไหนขึ้นตรงนั้น (รูปที่1) เพราะมีสารHistamine อยู่ในเลือดทั่วตัว (ผื่นโรคผิวหนังอื่นๆ ภายใน24ชม.จะยังไม่เปลี่ยนแปลง)
ทดลองใช้เล็บขีดที่ท้องแขนจะบวมนูนขึ้นตามรอยขูด (Triple response of Lewis) รูปที่2
การรักษา :
-ถ้าเป็นครั้งแรก : ให้ลองรักษา ถ้าหายก็จบ
กิน Loratadine (10mg) 1-2เม็ด วันละครั้ง (กินทันทีที่ขึ้น) ที่แนะนำตัวนี้เพราะได้ผลดี & ไม่ง่วง
Chlorphenilamime & Hydroyzine ก็ได้ผลตี แต่ง่วงมาก
-ถ้าเป็นเรื้อรัง : น่าปวดหัวมาก ต้องทำดังนี้
1.หาสาเหตุ : ทำตัวเป็นนักสืบ เมื่อเป็นให้นึกย้อนกลับ 6ชม.ที่ผ่านมา กินอะไร ใช้อะไร ทำอะไร โดยยึดหลักว่า ของทุกอย่างในโลกนี้แพ้ได้ทั้งนั้น ของที่เคยไม่แพ้ก็แพ้ได้(ภูมิสะสม) จดไว้ให้ละเอียดที่สุด ทำหลายๆครั้ง นำมาหาตัวซ้ำ จับเป็นผู้ต้องสงสัย แล้วลองทีละตัว จนเจอตัวแพ้
สงสัยแพ้ความเย็น ใช้น้ำแข็งวางที่ท้องแขน ถ้าขึ้นก็ใช่
ถ้าหาเหตุได้ก็เลี่ยงซะ ถ้าเพลอไปรับเข้าก็รักษาแบบเป็ครั้งแรก
ถ้าหาสาเหตุไม่ได้ ควรไปพบแพทย์โรคผิวหนัง แนะให้ใช้ Clinicนอกเวลาของจุฬาฯ หรือ ศิริราช (ดูรายละเอียกในPostเปิดกระทู้ครับ
2.ถ้าจะรักษาเอง : กิน Loratadine (10mg) 1-2เม็ดวันละครั้ง (กินทันทีที่ขึ้น) ที่แนะนำตัวนี้เพราะได้ผลดี & ไม่ง่วง Hydroyzine (Atarax) ก็ได้ผลตี แต่ง่วงมาก กินติดต่อกันนาน 3เดือน

EDIT: การแพ้ถ้ารุนแรงมาก จะหน้าบวมตาบวม & หลอดลมบวมทำให้หายใจไม่ออก (Angioneurotic Edema)
(รูปที่3)ถึงตายได้ ถ้ามีอาการแน่นหายใจไม่ออก ให้รีบเข้าโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
บางคนแพ้กุ้ง อยากกินมาก ใช้วิธีกินยาก่อน แล้วกินกุ้ง ไม่แนะนำครับ เพราะการแพ้ครั้งต่อไปอาจรุนแรงขึ้น
ยาทาพวกSteroid ใช้ไม่ได้ผลกับลมพิษครับ

รังแค(Dandruff)



สาเหตุยังไม่มีใครรู้ แต่พบว่ามีการสร้างCellหนังศรีษะมากผิดปกติ อนาคตคงโทษยีนอีกละครับ ยีนเริ่มเป็นผู้ร้ายมากขึ้นเรื่อย ไม่นานนี้ก็พบ Gene Gayแล้วครับ เพราะฉะนั้นชาวสีม่วงเลิกโทษคนอื่นได้แล้วครับ เมื่อกี้นี่เองดูข่าวช่อง 3 ฝรั่งพบGene Shopping ในผูัหญิงแล้วครับ สาวๆนักShopที่แฟนชอบบ่นเรื่องช่างซื้อ ยืดอกตอบไปเลยตรับ ไม่ใช่ความผิดฉั้นยะ Geneฉั้นเป็นอย่างงี้เอง สงสัยภรรยาผมมีgeneตัวนี้แน่นอน ไปห้างที่เธอลากรถเข็น2คันกับลูกสาวเดินทุกชั้น ผมนั่งกินกาแฟรอจนหลับเลย
เมื่อยังไม่รู้สาเหตุก็ไม่รู้วิธีแก้ที่หายขาด จึงต้องใช้ Shampooไปตลอดละครับ มีตัวยา 3ตัวจากเบาไปแรง
ใช้เบาที่สดที่คุมอาการของคุณได้ครับ
1.Zinc Perithion : ควรเริ่มจากตัวนี้ มี2เจ้า same same ครับ Clinic กับ Head & Shoulder
2,Silinium Disulphide : แรงกว่าแต่เหม็นเข้าตาแสบมาก Selsun
3.0.1% Tiamcinolone : เป็นlotionไม่ใช่shampoo & เป็น Steroid ใช้เมื่อ 1&2ไม่ได้ผลเท่านั้น ซื้อหลอดดูดให้ยาเด็กมาหยดใส่หนังศรีษะ วันละครั้ง หายเลิกเป็นใช้ใหม่ ไม่อันตราย แค่ถ้าใช้บ่อยอาจเกิดสิวที่หนังศีรษะ ชื่อ KELA หรือ UNIF

ความผิดปกติที่กระดูกสันหลัง


กระดูกสันหลัง(Vertebral Column เรียกสั้นๆว่า Spine) มีทั้งหมด 30ข้อ แบ่งเป็น 4ส่วนคือ



1.ส่วนคอ(Cervical Spine) 7ข้อ เรียงจาก C1- C7 มีSpinal nerve 8เส้น (เรียกC1 – C8)
2.ส่วนหน้าอก(Thoracic Spine) 12ข้อ เรียงจาก T1 – T12 มีSpinal nerve 12เส้น (เรียก T1 – T12)
3ส่วนเอว (Lumbar Spine) 5ข้อ เรียงจาก L1 – L5 มีSpinal nerve 5เส้น (เรียก L1 –L5)
4.ส่วนกระเบนเหน็บ(Sacral Spine) 5ข้อ เรียงจาก S1 –S5 แต่ทั้งหมดจะfuseรวมกันเป็นแผ่นเดียวเรียกกระดูกก้นกบ มีSpinal nerve 5เส้น (เรียก S1 – S5)
5.กระดูกก้นกบ (Coccyx) มีSpinal nerve 1เส้น เรียก Coccyx nerve
ทำหน้าที่ 2อย่างคือ
1.เป็นแกนของร่างกาย เหมือนเสาบ้าน
2.หุ้มปกป้องไขสันหลัง(Spinal Cord) ซึ่งเป็นส่วนของระบบประสาทที่ต่อมาจาก Brain เพื่อควบคุมร่างกายตั้งแต่คอลงมา(ดูบริเวณที่แยกกันควบคุมตามรูป)
ระหว่างข้อจะมีหมอนของกระดูก( Intervertebral Disc) ขั้นอยู่เพื่อลดแรงกระแทก และ ทำให้บิดตัวได้

Spinal Cord[b] ซึ่งเป็นส่วนของระบบประสาทที่ต่อมาจาก Brain เพื่อควบคุมร่างกายตั้งแต่คอลงมา(ดูบริเวณที่แยกกันควบคุมตามรูป)
หน้าที่ของไขสันหลัง
1.เป็นทางผ่านของกระแสประสาทจากหน่วยรับความรู้สึกไปยังสมอง(รับความรู้สึกSensory) ทำให้เรารู้สึกเจ็บ ร้อน ฯลฯ
2.เป็นทางผ่านของกระแสประสาทจากสมองกับหน่วยปฏิบัติงาน (สั่งการ Motor) เช่นยกแขน ต่อย ฯลฯ
3.สามารถสั่งการได้เอง ในระบบReflex เพื่อป้องกันตัว เช่นพอโดนของร้อนเราจะชักมือหนีทันที (ถ้ามัวรอให้ส่งความรู้สึกร้อนไปถึงสมองแล้วสมองส่งคำสั่งกลับมาให้ชักมือออกจะไม่ทัน)
ตัวSpinal Cordจริงๆมาสิ้นสุดที่L1 ต่อกับ L2 แต่ให้เส้นประสาทSpinal Nerve ออกมา31เส้น ซึ่งทอดออกมาจากSpine ข้อละ1เส้นจึงเรียกชื่อมันตามSpineที่มันลอดออกมา (ยกเว้นส่วนคอจะมี8เส้นเพราะC1จะมีออกมาทั้งข้างบนและข้างล่าง) ทุกเส้นจะทำหน้าที่ครบทั้ง3ข้อ (จากรูปSpinal cordคือแท่งสีเทา แท่งสีเหลือง)
[b]ความผิดปกติที่พบ


1.จากอุบัติเหตุ มีหลายระดับรุนแรงที่สุดอาจถึงกับทำให้ตัวSpineเคลื่อนออกจากกันทำลายSpinal Cord(รูปหน้า) จะเป็นอัมพาต(Paralysis)ได้ ตามบริเวณที่มันเลี้ยง(ตามรูป2) และส่วนที่ตำลงมาทั้งหมด
ถ้าเป็นที่ระดับคอ อาจทำให้ตายจากหายใจไม่ได้ เพราะมันควบคุมกล้ามเนื้อในการหายใจ และกะบังลม
การช่วยเหลือผู้ป่วยที่เกิดอุบัติเหตุจึงต้องระวังเรื่องนี้มากๆ เพราะSpineมันอาจเคลื่อนออกจากกันแล้ว แต่ยังไม่ทำลาย Spinal Cord (เชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นอัมพาตจากการขนย้าย) อย่าอุ้มผู้ป่วย ให้หาแผ่นกระดานสอดเขาใต้ตัวช้าๆ แล้วหาของวางประกบคอ 2 ข้างไม่ให้ขยับแล้วยกไป
การตกจากที่สูงในท่ายืนซ่นกระแทกพื้น อาจทำให้กระดูกซ่นเท้า(Calcaneum)แตก หรือ จากแรงกด(compress) ทำให้กระดูกและDiscยุบลง(รูปหลัง)
Discอาจทะลักเป็นก้อนไปข่งหลัง(Herniated Disc)ไปกดเส้นประสาทได้

2.จากความชรา ทำให้กระดูกผุ(Osteoporosis) และDiscบางลง(Degenerated Disc)
การรักษา ควรไปหาหมอทั้งหมด
เราจะรักษาตามอาการ จะผ่าตัดก็ต่อเมื่อ
1.รักษาเต็มที่แล้วอาการปวดไม่ลดลง
2.มีอาการกดทับเส้นประสาท [b]คือปวดหรือชาไปตามบริเวณที่มันไปเลี้ยงตามรูป และกล้ามเนื้อบริเวณนั้นเริ่มลีบ
ควรไปหาหมอที่clinicนอกเวลาจุฬา-ศิริราช-รามา หรือโรงพยาบาลมหาลัยในตวจ.
การบริหารช่วยได้ในระดับหนึ่ง

การรักษาแผลสดจากอุบัติเหตุ


ของที่ควรพกไปเมื่อไปเที่ยวทางไกล
1.ยากิน : ยาแก้แพ้ : Loratadine 1แผง ไว้ใช้ แก้แพ้ทุกชนิด แก้คัน และแก้หวัดได้ กิน1-2 เม็ด วันละครั้ง เวลาไหนก็ได้
ยาแก้ท้องเสีย : Norfloxacin(400mg) กิน 1เม็ดวันละ2ครั้งหลังอาหาร ใช้แก้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ และการติดเชื้ออื่นๆได้ด้วย
Loperamide ทำให้หยุดถ่าย 1เม็ดทุก 4ชม. หยุดถ่ายให้หยุดกิน
ยาแก้ปวดแก้ไข้ : Paracetamol(500mg) กินได้ 2เม็ดทุก4ชม.
ยาแก้เมารถ : Dimenhydrinate กิน 1เม็ดทุก6ชม. แก้อาเจียนได้ด้วย ใครรู้ตัวว่าเมารถ กินครึ่งชม.ก่อนเดินทาง
2.ยาทา : Ammonia : ใช้ดมเวลาจะเป็นลม และ ทาแผลเมื่อถูกแมงกระพรุน ไปทะเลต้องพกไปนะ
Betadine : ใช้ใส่แผลสดทุกชนิด
3.ผ้าพันแผล(แบบยืดได้ Dura)
Plaster (Transpore ) & Plasterยา
Sofra-tulle (เป็นผ้าตาข่ายใส่ยาฆ่าเชื้อ และเคลือบParafin ไว้ทำให้ไม่ติดแผลเวลาลอกออก ต้องเปลี่ยนทุกวัน)
เทียนไข หรือ ดินน้ำมัน เอาคลึงที่แผลที่ถูกเหล็กไนจะเอาออกมาได้ รวมถึงแมงกะพรุนด้วย
การรักษาแผลสด
ถ้าจะไปโรงพยาบาล ห้ามใส่อะไรทั้งนั้น ให้ห้ามเลือดโดยพันแผลหรือกดไว้ด้วยผ้าสะอาดที่สุดที่หาได้ อย่าเช็ดแผล เพราะจะเช็ดเอาclot ที่อุดห้ามเลือดออก ทำให้เลือดออกอีก
โดยเฉพาะใส้บุหรี่ มันห้ามเลือดได้จริง แต่เอาออกให้หมดยากมาก (สงสารหมอหน่อยครับ) และถ้ามันค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว มันจะเป็นสารแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย แผลคุณจะเป็นหนองซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าผ่าเอาออกหมด (ทุกครั้งที่เจอแบบนี้นั่งคีบไปด่าคนแนะนำไป)
ถ้าโดนสัตว์กัด ให้ล้างและฟอกแผลด้วยสบู่ เพื่อลดเชื้อพิษสุนัขบ้า(ถ้ามี) แล้วห้ามเลือด รีบไปพบหมอ
ถ้าไม่ต้องไปหาหมอ –แผลสะอาดอยู่แล้ว ให้ทา Betadine ปิดด้วย Sofra-tulle(ตัดเป็นชิ้นขนาดพับครึ่งแล้วปิดแผลได้ อย่าลืมลอกเอากระดาษไขออกด้วย ใช้แต่ตัวตาข่ายนะ เปลี่ยนทุกวัน)
ปิดทับด้วยผ้าพันแผล ทำแผลวันละครั้ง โดยทา Betadine แล้วปิดแผลแบบเดิม
ถ้าแผลสกปรก ให้ล้างน้ำเปล่าที่สะอาดที่สุด(น้ำPolarisที่กินนั่นแหละ) ซับให้แห้งห้ามเช็ด เลือดจะออก แล้วทา Betadine แล้วปิดแผล แบบข้อก่อน
ถ้าเป็นแผลถลอก ทำแบบ2ข้อข้างบน แต่อย่าปิดแผล เปิดไว้จะตกสะเก็ดใน2-5วันแผลหายเร็วกว่า ถ้าอยู่ระหว่างเดินทางอาจปิดแผลไว้ก่อน แต่ถึงบ้านให้ รีบเปิดทันที
สิ่งที่ห้ามใช้กับแผล ทั้งหมดนี้ทางการแพทย์เราไม่ใช้แล้ว (แต่ยังมีขายอยู่ ไม่รู้มี สธ.ไว้ทำไม) พวกนี้คือจำเลย ที่ทำให้แผลไม่หายและลุกลาม
Hydrogen Peroxide(ผู้ร้ายหมายเลข1) ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ Ointmentทั้งหลาย Chloram ผงวิเศษ บัวหิมะ ยาเส้น Alchol

EDIT : เพิ่มเติมผลเสียของแต่ละตัวครับ เป็นสิ่งที่ผมพบจริงๆมาเกือบ30ปี แผลเล็กน้อยที่รักษานานแล้วยังไม่หาย และลามมากขึ้น มาจากการใช้ยาพวกนี้ทั้งนั้น
Hydrogen Peroxide : มันฆ่าเชื้อโรคได้ก็จริง แต่ก็ฆ่าcellด้วย แผลเย็บตัดไหมแผลจะไม่ติดแบะออก เพราะมันซึมลงในแผล กัดเนื้อเยื่อที่ร่างกายสร้างขึ้นเชื่อมแผล แผลถลอกก็จะขยายใหญ่ขึ้น ขอบแผลนูนเป็นสัน
Alcohol : ไม่ใช้ใส่ในตัวแผล แต่ใช้เช็ดฆ่าเชื้อ ที่ผิวปกติ ข้างๆแผล
Tincture Iodine : ฆ่าเชื้อได้ดีที่สุดก็จริง แต่มันจะทำลายเนื้อเยื่อของเราด้วย
ยาเหล์อง และยาแดง : ฆ่าเชื้อได้ไม่ดีนัก และจะจับเป็นผลึกอยู่บนแผล ข้างใต้เป็นที่สะสมเชื้อโรคอีกด้วย
Chloramผง(ถอดcapsuleมาโรย) : เป็นการใช้ยาผิดroute(ไม่รู้จะแปลยังไง) เขาทำไว้ให้กิน จึงไม่ได้ผล และอาจกระตุ้นให้แพ้ chloramด้วย
Ointmentทั้งหลาย : พบว่าไม่ช่วยฆ่าเชื้อโรค และยังกระตุ้นให้แพ้ยากินด้วย
Gentamycin cream ฆ่าเชื้อได้จริง แต่ไม่ควรใช้ในแผลสด ใช้ทาที่หัวฝีร่วมกับยากินจะได้ผลดี
ผงวิเศษ และผงอื่นๆ : ฆ่าเชื้อไม่ได้ ในช่วงแรกที่ดูดีขึ้น เพราะมันเป็นผงแป้ง จึงดูดน้ำจากBacteriaทำให้ตาย และยังดูดซับน้ำเหลืองด้วย แผลจึงดูแห้ง แต่ไม่นานมันจะจับเป็นแผ่นคลุมบนแผล เป็นที่อยู่และอาหารเลี้ยงเชื้อโรค เพราะเป็นcarbohydrate แผลจะแย่ขึ้น ใส่แป้งมันก็มีผลเช่นกันครับ
ยาเส้น : ชาวบ้านใช้ห้ามเลือด ได้ผล แต่ ถ้าเก็บออกไม่หมดค้างอยู่ในแผลแม้แต่เส้นเดียว แผลจะเป็นหนองขึ้นมาเรื่อยๆ จนผ่าเอาออกจึงหาย ของอื่นทุกชนิดที่ค้างอยู่ในเนื้อก็มีผลแบบเดียวกัน
สำลีไม่ควรใช้กับแผลเพราะเส้นใยอาจตกค้างอยู่ในแผล เกิดผลแบบเดียวกัน ให้ใช้เป็นcotton bud จะดีกว่า และห้ามปิดแผลด้วยสำลี เพราะเหตุผลเดียวกัน

การรักษาสิวอักเสบ ที่เป็นมากๆด้วยZinc


การรักษาสิวอักเสบ ที่เป็นมากๆด้วยZinc เป็นวิธีที่ Bossแนะนำนะครับ ผมฟังดูก็มีเหตุผลพอควร และไม่มีอันตราย ต้องกินวันละ 45mg
แต่Zincที่เป็นเม็ดpureไม่มี มันจะอยู่รวมกับVitamin & แร่ธาตุอื่นๆ หรืออยู่ในรูปผงอาหารเสริม ผมเลยไปเปิดคู่มือยาที่มีขายทั้งหมดในประเทศไทย ให้พบว่ามี 3ยี่ห้อที่มีZinc มากพอตามคำแนะนำของ Boss คือ
-VitaCap มีZinc 50mg ขนาดกำหนด คือ กินวันละ 1เม็ด ซึ่งก็ได้พอดีเลย ตัวนี้น่าใช้ที่สุด
-Z-Bec มีZinc 22.5mg ขนาดกำหนด คือ กินวันละ 1เม็ด ถ้าจะให้ได้ตามกำหนด ต้องกินวันละ 2เม็ด แต่ไม่น่าจะอันตราย เพราะตัวอื่นๆ ก็ไม่ใช่Vitaminที่สะสม บีโคเซ่(จำตัวสะกดไม่ได้) เป็นของในประเทศที่copy Z-Becเลย ถูกกว่ามาก
-Enveron-MV มีZinc 22.5mg คล้าย Z-Bec
ทุกตัวผมไม่เคยใช้รักษาสิวครับ แต่ถ้าจะลองก็ไม่มีอันตรายใดๆ แต่ต้องเป็นสิวอักเสบที่เป็นมากนะครับ
ก่อนซื้อให้ดูข้างขวดก่อนนะว่ามีZinc ตามที่ผมบอกหรือไม่ บางทีมันก็มั่วเหมือนกัน
ตลกเศร้าในวงการแพทย์คือ หนังสือ MIMS ซึ่งมีฉะบับเดียวที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่มีขายในไทย เป็นคู่มือข้างกายของหมอทั้งประเทศ เป็นของสิงคโปร์ครับ และพิมพ์ในสิงคโปร์ด้วย เฮ้อ! เศร้า

เรื่องยา Benzac 5% (Benzoyl Peroxide) ก็ตามที่หมอPopแนะนำครับ
อาจารย์ น.พ.ธาดา เปี่ยมพงศ์สานต์ แนะนำว่า ใช้ใหม่ๆจะแสบ ให้ทาทิ้งไว้ 15นาทีแล้วล้างหน้าด้วยสบู่ ถ้ายังแสบให้ลดลงเหลือ2.5% ถ้ายังทนไม่ไหว ก็เปลี่ยนไปใช้ตัวอื่น
ส่วนตัวเคยใช้ตอนหนุ่มๆ ไม่แสบเลย ทาทิ้งไว้ทั้งคืนด้วยซ้ำ ผมคงหน้าด้านมากครับเลยไม่รู้สึกครับ ^^

หูด(Wart)

สาเหตุ เกิดจากเชื้อ Human Papilloma virus (HPV) ได้รับเชื้อโดยตรง(direct contact)โดยสัมผัสกับคนหรือสิ่งของที่มีเชื้ออยู่ โดยเข้าทางผิวหนังที่มีแผลแม้เพียงเล็กน้อย และ Sex(ในรายที่เป็นที่อวัยวะเพศ)
การรักษา ส่วนใหญ่จะหายเองได้
1.ใช้ยาทา มีหลายชนิด
-Salicylic acid + Lactic acid : แต้มที่ก้อนเช้าเย็น มี2ยี่ห้อคือ Collomack & Duofilm อันนี้ซื้อใช้เองได้
-ปิดด้วยPlasterที่มี40%salicylic acid ทิ้งไว้5วัน แล้วใช้มีดเฉือนออก ปิดซ้ำ ทำเรื่อยๆจนหาย
-ทาด้วย Cantharidin หรือ Fluorouracil หรือ Trichloracetic acid 30% อันนี้ต้องปรึกษาแพทย์
2.ผ่าตัด ได้หลายวิธี
-ตัดออกแล้วเย็บเหมือนก้อนเนื้อทั่วไป
-จี้ด้วยไฟฟ้า อันนี้อาจเป็นแผลเป็น และไม่ควรใช้ที่ใต้ฝ่าเท้า เพราะแผลเป็นอาจเจ็บมากกว่าอีกเวลาเดิน
-Cryosurgery
-Laser
3.DNCB Immunotherapy : จะได้ผลดีในรายที่เป็นมากๆ และรักษายาก



หูดที่อวัยวะเพศ(หงอนไก่Condylomata Acuminata) ดูรูปข้างบน
เป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มีลักษณะเป็นก้อนเล็กๆเหมือนดอกกะหล่ำ
การรักษา จี้ด้วย 20% podophyllin ยังได้ผลดีอยู่ แต่ต้องทำโดยหมอเท่านั้น

การMaskหน้าแก้สิวด้วยAspirin

ขั้นตอนการทดลองทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้
โดยทั่วไป ผลการทดลองยาที่ยอมรับได้ต้องมีขั้นตอนดังนี้
1.คัดเลือกSampleที่เป็นโรคนั้นมา2กลุ่ม โดยทั้ง2กลุ่มต้องมีคุณสมบัติเหมือนกันทางสถิติ(เพศ/อายุ/ไม่มีโรคอื่นร่วมด้วย/...)
(ถ้าทดสอบยาตัวเดียวใช้2กลุ่ม/ถ้าทดสอบยา2ตัว+ใช้3กลุ่ม)
2.ให้ยากับกลุ่มหนึ่ง และ
ให้สารที่เหมือนกับยานั้นทุกประการ(แต่ไม่มีตัวยานั้น เรียกPlacebo)กับกลุ่มที่2(กลุ่มควบคุม Controll group)
โดยทุกคนต้องไม่รู้ว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน
3.ติดตามผลเป็นระยะ(Follow up) ตามProtocol ที่วางไว้
4.ประมวลผล
5.สรุปผลการทดลอง โดยใช้วิชาสถิติ
6.Comment ด้วยหลักวิชาทางการแพทย์
7.เขียนรายงาน ซึ่งต้องมีครบในรายละเอียดทั้ง6ข้อ
อันนี้อาจขาดบางขั้นตอนไปบ้าง
ถ้าไม่มีการทำแบบนึ้ ทางการแพทย์จะไม่ยอมรับ โดยเฉพาะ Paper ที่ยกผู้ป่วยเป็นรายๆมานำเสมอ เราจะไม่ให้ราคาเลยครับ เราจะเรียกมันว่า Case Report เท่านั้น
ถึงจะมีการทดลองครบทุกขั้นตอน เรายังต้องดูอีกหลายอย่าง เช่น จำนวนSample ต้องมากพอ / การกระจายตัวของSampleในทุกกลุ่มต้องเท่ากันทางสถิติ / ทุกขั้นตอนในการทดลองถูกต้องไหมฯลฯ

ส่วนยาตัวนี้ อันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวซึ่งอาจผิดก็ได้
Aspirin มีชื่อตัวยาที่แท้จริงว่า Acetylsalicylic acid จัดเป็น salicylic acid ชนิดหนึ่ง
salicylic acid มีผลทางผิวหนังในการฆ่าเชื้อรา และทำให้ผิวบางลง(Keratolytic) จึงมีการนำไปใช้ทางผิวหนังเท่าทีผมจำได้
1.ฆ่าเชื้อราที่ผิวหนัง ในยาโบราณ Whitfield ointment(เป็นยาตำราหลวง) ปัจจุบันไม่นิยม เพราะมียาทาฆ่าเชื้อราอื่นๆที่ได้ผลดีกว่า ยาตัวนี้ใช้ทาแก้เท้าด้าน และแตกได้ดีนะครับ
2.ผสมกับsteroidทา จะช่วยเสริมฤทธิ์กัน ได้ผลดีในผื่นที่หนา และแข็ง
3.ผสมกับตัวยาอีกหลายตัวใช้ทาแก้สิวในสมัยโบราณ เรียก Lotio Alba หรือ Acne Lotion โดยsalicylic acidจะช่วย ละลายสิวอุตัน(Comedone) ได้ผลดีในสิวเสี้ยน ปัจจุบันไม่นิยมใช้เพราะ มีตัวอื่นที่ได้ผลดีกว่า เดียวนี้ถ้ายังจะมีขายอยู่บ้างก็คือพวกแป้งน้ำรักษาสิว ที่คูคล้าย Calamine ครับ
เราจะใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยที่แพ้ยาทาแก้สิวตัวอื่นๆทั้งหมดครับ
ส่วนตัวผมจะใช้กับสิวที่หลังด้วย เพราะBenzoyl Peroxide จะกัดสีผ้า ถ้าใช้ทาที่หลังคุณก็ต้องไม่ใส่เสื้อหลังทาครับ

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551

ขนคุด ( Keratosis Pilaris )

ขนคุด ( Keratosis Pilaris )

โรคขนคุดเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อย มักพบบริเวณ ต้นแขน ต้นขา และสะโพก บางรายพบได้ที่แก้ม

สาเหตุ : ไม่ทราบแน่ชัด พันธุ์กรรมเป็นปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้อง

ลักษณะของโรค
ลักษณะที่จะพบจะเป็นตุ่มนูนแข็ง (Keratotic papules) กระจายตามรูขุมขน (Hair follicles) และมักพบรอยแดงๆ ล้อมรอบตุ่มเหล่านั้น

ปัจจัยอื่นที่มีความสัมพันธ์กับโรคขนคุด
จะพบขนคุดได้มากขึ้นในคนไข้ Atopic dermatitle (โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้)

จะพบขนคุดได้บ่อยในคนไข้ Icthyosis vulgaris (โรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติของการ สร้างเคอราติน และมีผิวแห้งเป็นสะเก็ด)

ในคนไข้โรคศีรษะล้านชนิด Scarring alopecla จะพบร่วมกับขนคุดได้
การรักษา
ครีมเคลือบผิว
ยาในกลุ่ม Keratolytics เช่น Salicylic acid, Alpha-hydroxy acids, Propelene Glycol

การวินิจฉัย ผลการตรวจชิ้นเนื้อ
ความคาดหวัง โรคนี้มักจะเรื้อรังตลอดไป โดยเฉพาะโรคขนคุดที่มีความสัมพันธ์กับโรค Icthyosis vulgaris ส่วนในเด็กที่พบขนคุดบริเวณแก้ม มักจะหายเมื่อโตขึ้น

การป้องกัน ยังไม่มีวิธีป้องกันใดที่ได้ผลแน่นอน แต่ควรจะตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาโรคที่มีความสัมพันธ์ร่วมกับขนคุด ที่กล่าวไปเบื้องต้น เพื่อรักษาโรคต่างๆ ดังกล่าวร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน : ไม่มีภาวะแทรกซ้อน

Credit : หมอMaster_X

เล็บขบ

เล็บขบ
เล็บขบเป็นปัญหาปวดหัวสุดๆ ส่วนใหญ่เกิดจากซุกซน
สาเหตุ 1.คนที่เล็บด้านยาว > ด้านกว้างมากๆ ขอบเล็บจะงุ้มลงในเนื้อมากทำให้ขบง่าย
2.ซุกซนไปตัดหนังที่จมูกเล็บทำให้ติดเชื้อ หรือตัดเล็บด้านข้างออก ปกติเนื้อ & เล็บจะมีสมดุลด้านข้างกันอยู๋
พอเราตัดเล็บด้านข้างออกเนื้อจะงอกกินที่เข้ามาพอเล็บงอกคืนจะขบกัน การตัดเนื้อข้างเล็บก็เกิดผลทำนองเดียวกัน
วิธีป้องกัน : ให้ตัดเล็บเฉพาะปลายด้านหน้า อย่าตัดข้างเล็บ หรือจมูกเล็บ
การรักษา : หาหมอครับ คุณแก้ไขเองไม่ได้ หมอยังแก้ไม่ค่อยได้เลย

Credit : หมอMaster_X

แผลเป็น (Scar)

แผลเป็น (Scar)
แผลเป็น (Scar)
มี 2ชนิดรักษาต่างกันครับ
1.Keloid คือเป็นที่นูนขึ้นมาเป็นก้อนๆ ผิวแดงคล้ำ & มัน โตขึ้นเรื่อยๆ เหมือนแผลฉีดBCGที่หัวไหล่บางคน (หลังๆมานี้จะฉีดที่กันครับจะไดไม่เห็นแผล โง่มานาน ใครมีลูกเน้นให้ฉีดที่ก้นนะ) พวกนี้ผ่าตัดไม่ได้ครับ เย็บแล้วจะเป็นอีกบางคนน่าเกลีดยกว่าเดิมอีก รักษาโดยฉีด Steroidเข้าไปทุก 2Wksส่วนใหญ่จะยุบลงแต่แผลยังอยู่แต่ไม่บวมนูน
มีวิธีรักษาอีกวิธีคือ ตัดออกแล้วพอแผลติด นัดมาฉายแสงทำให้ไม่บวมขึ้นครับ วิธีนี้ดีเพราะแผลเหลือแค่รอยเย็บ
2.Scar แผลเป็นธรรมดา พวกนี้ทำผ่าตัดได้ครับ ที่คุณรักษาผิดอย่างเดียว และ ผิดมากด้วย คือใช้Hydrogen peroxide ล้างแผล เพราะยาตัวนี้นอกจากฆ่าเชื้อโรคยังกัดเนื้อเราด้วย แผลที่เย็บถ้าล้างด้วยตัวนี้ ตัดไหมแผลจะแยกทันที เพราะมันซึมลงไปกัดเนื้อที่สร้างขึ้มาเชื่อมแผล
คนไข้ที่ทำแผลมาเกิน2wksยังไม่หาย ผู้ร้ายอันดับ1 คือHydrogen peroxide นอกจากนั้นก็เป็น ยาเหลือง ยาแดง ผงวิเศษ Chloram &Creamต่างๆ ทิงเจอร์ก็เลิกใช้แล้ว
ที่ควรใช้ใส่แผลมี 2ตัวครับ 1.Betadine(สีดำเหมือนทิงเจอร์) ดีที่สุดครับ 2.Merthiolate (สีส้ม) ทั้ง2ตัวเอาที่ทำในประเทศถูกกว่าเยอะเพราะเขานำเข้าแล้วมาบรรจุขวดเท่านั้นผลเท่ากัน ช่วยชาติด้วยครับ
Herudoid : เป็นยาละลายลิ่มเลือดรักษาแผลเป็นไม่ได้ เขาใช้ช่องโหว่ทางกม.โฆษณาหลอกว่าได้ผล ซึ่งมีโทษปรับวันละไม่เกิน1200฿

Credit : หมอMaster_X